ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

เล่าประสบการณ์ เคลมกระเป๋าเดินทางชำรุด - เสียหาย กับประกันเดินทาง SOMPO


ผม ภรรยา และลูก ได้เดินทางไปประเทศญี่ปุ่น (โอซาก้า) เมื่อวันที่ 14 - 23 มีนาคม 2561 โดยซื้อประกันเดินทาง แพ็กเกจ Travel Joy ของ SOMPO โดยเป็นประกันแบบ Travel Accident & Hospitalization แผน B+ มีวงเงินประกันความเสียหายของกระเป๋าเดินทาง 30,000 บาท (ไว้ดูท้ายบล็อกว่าบทสรุปเป็นอย่างไร)



บทความเล่าจากประสบการณ์จริง ขอเล่าเหตุการณ์ตามจริงครับ ถามว่าทำไมเพิ่งเขียน ก็เพราะว่า เพิ่งได้รับเงินเคลมประกันเมื่อวันที่ 11 เมษายนที่ผ่านมา

คำเตือน : อย่าไปยอมประกัน เรามีสิทธิร้องเรียนตามจริง เพราะเราซื้อประกันจากเขาครับ

เหตุการณ์เกิดขึ้น ณ สนามบินดอนเมือง หลังจากบินกลับทริปญี่ปุ่น (โอซาก้า) จากสนามบินคันไซ มาถึงสนามบินดอนเมือง เมื่อผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองเรียบร้อยแล้ว ก็ไปรับกระเป๋าที่สายพานตามปกติ สังเกตได้ว่า กระเป๋าเดินทาง มีสภาพชำรุด หูกระเป๋าหัก ซึ่งเราได้ถ่ายรูปไว้ ณ ที่เกิดเหตุ

ขั้นตอนการเคลม ไม่ยากครับ ยอมรับว่าเป็นครั้งแรกก็งงๆ สิ่งที่นึกออกและทำได้อย่างแรกก็คือ ถ่ายรูปทุกสิ่งอย่างทันทีที่พบเหตุการณ์ แล้วโทรปรึกษากับประกันทันที ซึ่งความเหวอคือ เบอร์ Call Center ฉุกเฉินนั้น สำหรับกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉินเท่านั้น ส่วนกระเป๋า ต้องโทร Call Center อีกเบอร์ ซึ่งก็คือเบอร์ในภาพ (เราเพิ่งมาจับภาพหน้าจอตอนเขียน แต่ยังดีที่ Call Log ยังอยู่)



วิธีการ แจ้งเคลมประกันเดินทาง กรณีกระเป๋าเดินทางชำรุด - เสียหาย กับสายการบิน และประกันเดินทาง

เราต้องมีเอกสารที่สนามบินออกให้เพื่อใช้ยื่นเคลมครับ

1) ติดต่อเจ้าหน้าที่สนามบิน เพื่อประสานทางสายการบินเข้ามาดูแลเรา

2) เจ้าหน้าที่สายการบินจะออกเอกสารให้เรา แสดงพาสปอร์ต (หนังสือเดินทาง) Boarding Pass ของสายการบินที่เราเพิ่งเดินทางมาถึง แท็กกระเป๋า ของเรา เจ้าหน้าที่สายการบินถามว่า จะเคลมกับสายการบิน หรือเคลมกับประกัน เรามั่นใจเคลมกับประกัน (เดี๋ยวลองอ่านตอนท้ายดูว่าบทสรุปเป็นอย่างไร)
3) หลังจากได้เอกสารแล้ว เราก็เอาเอกสารไปยื่นเคลมกับเจ้าหน้าที่ของประกันเดินทาง สอบถามเขาบอกว่าต้องยื่นเคลมภายใน 7 วัน

กรณีของผม พบเหตุการณ์ก็ถ่ายรูปไว้เลย ตอนนั้นคิดอะไรไม่ออกก็เอากระเป๋าออกมาข้างนอกเสียก่อน แล้วหาร้านนั่ง ให้ภรรยาและลูกพักผ่อนก่อน ส่วนเราก็ไปเดินเรื่อง (ตอนซื้่อประกัน ซื้อของทุกคน ของภรรยาและลูกก็ซื้อด้วย แต่ตอนเคลมเราใช้ประกันของเราคนเดียวเคลมประเป๋า)

เจ้าหน้าที่ Call Center ของ SOMPO แนะนำดีครับ ส่งเอกสารมาให้เรากรอกผ่านอีเมล์ (แต่ต้องพรินต์มาเขียนแล้วสแกน) แต่เอกสารหลัก เราต้องติดต่อสายการบินเพื่อขอเอกสารยืนยันให้ทางสายการบินออกให้เรามายื่นเคลม อันนี้ไม่ได้เสียเวลาอะไรมากมายนัก แต่ด้วยความเหนื่อยล้าจากการเดินทาง และไม่ใช่ความผิดเรา นี่ก็เพลีย
เจ้าหน้าที่ของสายการบิน Scoot ดูแลดีมากครับ Service Mind ดี พอได้เอกสารจากสายการบินแล้ว เราก็กรอกเอกสาร สแกน แล้วส่งยื่นเคลมประกันกับ SOMPO ครับ

หลักฐานประกอบการยื่นเคลมประกัน (ของเราอ้างอิงจาก SOMPO แต่เจ้าอื่นน่าจะเหมือนๆกัน)

เอกสารการเรียกร้องสินไหมทดแทน กรณีความสูญเสียหรือเสียหายของกระเป๋าเดินทาง
1.แบบฟอร์มการเรียกร้องสินไหมประกันอุบัติเหตุการเดินทาง  (เขาแนบไฟล์มาให้ครับ ขอจากประกันได้เลย)

2.สำเนาหนังสือเดินทางของผู้เอาประกัน

3.สำเนาบัตรโดยสารสายการบินหรือ Boarding Pass ของผู้เอาประกัน

4.ภาพถ่ายความเสียหายของกระเป๋าเดินทาง

5.หนังสือยืนยันความสูญเสียหรือเสียหายที่ออกให้โดยบริษัทขนส่ง หรือผู้บริหารโรงแรม โดยระบุรายละเอียดของความสูญเสียหรือเสียหายที่เกิดขึ้น (อันนี้แหล่ะที่เป็นเอกสารจากสายการบินครับ)
6.ทรัพย์สินส่วนตัวซึ่งมีมูลค่าเกินกว่า 3000 บาท จะต้องมีใบเสร็จรับเงินต้นฉบับหรือหลักฐานการซื้อสินค้า  (ถ้ามี) อันนี้ส่วนตัวบอกเลยว่า น้อยคนจะเก็บใบเสร็จไว้ ยิ่งกระเป๋าเดินทางที่ใช้งานมานานแล้วด้วย

7.สำเนาหน้าสมัดบัญชีธนาคาร **กรณีต้องการให้โอนเงินเข้าบัญชี**


ความเสียหายของกระเป๋าเรา ณ วันที่เดินทางกลับตอนดึก เราเห็นจากแสงไฟสลัวๆ ของสนามบินแค่หูกระเป๋า แต่พอกลับถึงคอนโด ไฟสว่าง เราพบว่า กระเป๋าเราแตกด้วย ซึ่งอันนี้ยอมรับว่าเราก็พลาดเองที่ดูไม่ครบถ้วน ทำให้ในใบเคลมของสายการบิน เราแจ้งไปเรื่องหูกระเป๋าหักเท่านั้น



Timeline การเคลมกระเป๋าเดินทาง

อันนี้อ้างอิงจากวันที่บนอีเมล์นะครับ

26 มีนาคม 2561
เราส่งอีเมล์ไปเคลมวันที่ 26 มีนาคม ปรากฎว่าเอกสารไม่ครบ (ขาดสมุดบัญชี ผมลืมส่งเองแหล่ะ) เลยส่งกลับไปวันที่ 28 มีนาคม แล้วทาง SOMPO ก็เงียบหายไปเลย ไม่มีติดต่อเข้ามาอีก

2 เมษายน
เวลาผ่านไปหลายวัน ผมรอไม่ไหว ทักกลับไปที่ Facebook Messenger ของ SOMPO มีเจ้าหน้าที่รับเรื่องเร็วดี

3 เมษายน

ตอนเช้า เจ้าหน้าที่จึงได้ติดต่อมา พร้อมเหตุผลว่า เคสเคลมเยอะ เจ้าหน้าที่ทำไม่ทัน ซึ่งผมหงุดหงิดมากกับคำตอบนี้

สายๆ ได้รับอีเมล์แจ้งว่า มีค่าเคลมจำนวน 500 บาท (ตอนโทรหา SOMPO คืนวันเกิดเหตุนั้นผมยังคุยขำๆ กับเจ้าหน้าที่อยู่เลยว่าไม่ใช่แค่หูหักแล้วให้แค่หูนะ)


ผมโทรกลับไปหา SOMPO คุยกับเจ้าหน้าที่เคลมประกันที่ดูแลผม ร้องเรียนว่า ทางประกันให้ลูกค้าไปซ่อมเอง แล้วค่ารถ ค่าเสียเวลาอีกล่ะ เพราะความเสียหายในครั้งนี้ แน่นอนว่าถ้าเราทำพังเอง จากอายุการใช้งานของกระเป๋า ลากแล้วพังเอง เรายินดีจ่ายเอง ซ่อมเองนะ แล้วถ้าเราเอาไปซ่อมเอง ผมเคยซ่อมกระเป๋าแล้ว ส่งซ่อม 2 - 3 เดือน ทวงเกือบทุกสัปดาห์ กว่าจะได้คืน ซึ่งครั้งนี้ มันไม่ใช่ความผิดเรา สายการบินผิด ประกันก็ต้องดูแลให้เราสิ ไฟล์ทให้เราสิ เพราะสายการบินก็สอบถามว่า เราจะเคลมกับสายการบิน หรือประกัน เรามั่นใจว่า SOMPO ต้องดูแลเราดีกว่าสายการบิน (เราซื้อ Plan B+ ซึ่งเป็นแพลนสูง จ่ายเยอะ ไม่ใช่แพลนล่างๆ ที่มีวงเงินประกันไม่มาก) ในเมื่อ สายการบินทำกระเป๋าเราพัง ดังนั้น ผมจึงร้องเรียนกับประกันให้พิจารณาค่าสินไหมให้เราใหม่อีกครั้ง

ช่วงบ่ายของวันที่ 3 เมษายน เจ้าหน้าที่พิจารณาสินไหม แจ้งเราว่า จะได้รับเงินเคลมประกันคืน 1,000 บาท เจ้าหน้าที่แจ้งเราว่า ถ้าเรายินยอม จะโอนเงินให้วันที่ 11 เมษายนนี้ ซึ่งเราก็ยอมยุติการร้องเรียน และยินดีรับเงินประกันคืน 1,000 บาท โอนเงินเมื่อวันที่ 11 เมษายน

รวมระยะเวลาเคลม 23 มีนาคม - 11 เมษายน ใช้เวลาติดต่อกับ SOMPO ติดต่อกันทางอีเมล์ 9 วัน นับจากวันที่ส่งเอกสารเคลม (26 มีนาคม - 3 เมษายน) และใช้เวลา รับเงินเคลมประกัน 9 วัน นับจากตกลงยินยอมรับเงินเคลมประกัน (3 เมษายน - 11 เมษายน)

ถามว่า 1 พันบาท ซ่อมคุ้มไหม กับค่ารถ ค่าเดินทาง ค่าเสียเวลา เราคิดว่าไม่คุ้มแน่นอน กระเป๋าเราพัง ก็ยังดีที่ซื้อประกันไว้ แต่ก็ได้รู้ว่า อย่าไปยอม ถ้าเรายอมแต่แรก ประกันก็ให้มาแค่ 500 บาท ซึ่งเราก็ร้องเรียนตามสิทธิที่เรามี จนสุดท้ายได้ 1,000 บาท จริงๆ จะไม่ยอมก็ได้นะ แต่เราเหนื่อยละ กระเป๋าเราก็ไม่ได้ทำพังเอง ทำไมต้องเหนื่อยขนาดนี้

แต่เราไม่ติดใจหรอกว่าความผิดสายการบิน เพราะคิดว่า มีโอกาสเกิดขึ้น เราเองสิต้องซื้อประกัน ถ้าเจอประกันดีๆ ก็ทำให้เราอุ่นใจ พันเดียวทำอะไรไม่ได้อยู่แล้วกับการซ่อมที่มีแตกแบบนี้ ค่ารถยังไม่คุ้มเลย 

ถามว่าถ้าให้เราแนะนำ จะซื้อประกันเจ้านี้อีกไหม เราชอบนะเพราะความคุ้มครองการรักษาพยาบาลที่ญี่ปุ่น เฉพาะโรงพยาบาลคู่สัญญา ไม่ต้องสำรองจ่ายก่อนเลย

ขอรับรองว่าข้อมูลในบล็อกนี้เป็นความจริงทุกประการ

ความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เรื่องน่ารู้ เกี่ยวกับ Adaptor ชาร์จมือถือ ควรเลือกแบบไหนดี?

ปกติแล้ว เวลาที่เราซื้อมือถือหรือสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต เครื่องใหม่เอี่ยม แกะกล่องต่อหน้าเรา จะมีอแดปเตอร์ (Adaptor) หรือปลั๊กชาร์จ หรือเรียกง่ายๆ ว่าหัวชาร์จ มาให้พร้อมกล่อง เป็นของแท้ ส่วนสายชาร์จ ก็ให้มาพร้อมเครื่องด้วย ซึ่งบนปลั๊กชาร์จ หรืออแดปเตอร์เนี่ย จะมีระบุตัวเลข กำลังไฟ แรงดันไฟ เป็น Amps และ Voltage แล้วก็มี Input, Output ซึ่งปกติเราก็ไม่ได้เพ่งอ่านตัวอักษรพวกนี้หรอกนะครับ เพียงแต่ว่า ถ้าเราต้องการจะหาปลั๊กอื่น เพื่อเอาไว้ใช้ที่ออฟฟิศ หรือในบ้านก็มีปลั๊กที่ห้องนอน ปลั๊กที่ห้องนั่งเล่น หรือปลั๊กในห้องทำงาน ทำให้เราต้องเลือกซื้อปลั๊กชาร์จไฟเพิ่มจากอแดปเตอร์ที่ให้มาพร้อมกับตัวเครื่อง ก็คงต้องพิจารณากันสักหน่อย ครั้นมองดูในตลาด ก็เห็นว่ามีให้เลือกเยอะเหลือเกิน

อยากขายมือถือ อยาก Turn เครื่อง เครื่อง Trade-in แนะนำ Kaitorasap.com (ขายโทรศัพท์.คอม)

มีโอกาสได้เข้าไปดูเว็บนี้ โดยไม่ได้ตั้งใจ คือสารภาพว่า ไม่รู้จักเว็บนี้เลย แต่ด้วยแคมเปญของ Samsung Galaxy S9 / S9+ ที่เอามือถือเครื่องเดิมมา Trade หรือแลก ในความหมายคือ เอามือถือเดิมมีตีราคา แล้วใช้เป็นส่วนมูลค่าส่วนลดและเพิ่มส่วนต่างในการซื้อเครื่องใหม่รุ่นที่ต้องการ